อันดับแรก เราคงต้องเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือส่วนตัวที่จะเอาไปเล่น ( ถ้ามี ) เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับเสียง และความอ่อนหรือแข็งของแป้นกระเดื่อง พูดถึงเรื่อง Snair ผมขอพูดตามความคิดของผมคื่อ คนตีแต่ละคน จะได้เสียงที่ไม่เหมือนกันเลย ผมจึงขอเสนอว่า ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน รุ่นไหน ก็ดีทั้งหมด มันอยู่ที่คนต่ซะมากกว่าที่เสียงจะออกมาดี หรือไม่ดี ถ้าเราเกิดไปเล่นตามร้านต่าง ๆ ที่มีวงประจำอยู่นั้น อยากให้คุณจำตำแหน่งเดิมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ให้ดี เมื่อเล่นเสร็จแล้ว ก็กรุณาปรับคืนให้เขาด้วยนะครับ มารยาทที่ดีของคนไทย ผมเห็นมาเยอะ ครับ บางคนเล่นเสร็จแล้วไสหัวหายไปเลย ไปไหนก็ไม่รู้ อยากให้เห็นใจคนกลองด้วยกัน เวลามีคนมาเล่นแล้วไม่ปรับคืน แม้แต่จะพูดขอโทษก็ไม่มี มันน่าโกรธนะครับ ถ้าเป็นตัวเราล่ะ ลองคิดดู ผมเจอมาเยอะครับ ไม่ว่าจะเป็นงานทีโรงเรียนหรืองานประกวดดนตรีที่โรงเรียนก็ตาม โรงเรียนผมมีหลายแผนก ที่มีนักดนตรี เวลาวงอื่นเล่นเสร็จ มันไม่ยอมปรับคืน มันน่าโกรธไหมครับ ได้แต่ด่าในใจดัง ๆ จนคนข้าง ๆ หรือเพื่อนผมที่อยู่ห้องเดียวกันที่เป็นคนตั้งเสียงกลองให้ก่อนงานเริ่มนั้นได้ยินว่า " Meang !!!!..... เล่นแป๊บเดียว ปรับของ Ku ซะเละเลย " ก็เป็นซะอย่างเงี้ย การทำโทน TONE ของเสียงกลอง Sound Engineer เค้าจะให้เราตีกลองทีละใบ เช่น เริ่มจากกระเดื่อง เค้าจะให้เราเหยียบไปเรื่อย ๆ เพื่อปรับเสียง แล้วก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกชิ้น ไล่ไปตามแต่เขาต้องการ ถ้าเป็นคอนเสิรต์ใหญ่ ๆ เขาจะมี MIX อีกตัวไว้มิกซ์เสียงออกอากาศแยกออกไปเลย มีสิ่งสำคัญอยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่า เวลาที่เราจะต้องไปเล่นตามงานใหญ่ ๆ ที่มีระบบเสียงสุดยอดอยู่แล้วนั้น ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องหวดกลองเสมอไปนะ ให้เราตีตามน้ำหนักมือที่เราถนัด เท่านั้นแหละ ดีแล้ว แต่ถ้าเล่นแล้วเกิดความมันส์ อันนี้ไม่ว่ากันครับ บางคนเล่นเบา ๆ พอเวลาเล่นตามงานใหญ่ ๆ ก็เต็มที่กับชีวิต มันจะหมดเอานะครับ อย่างนี้ไม่ค่อยดีครับ Sound Engineer เขาจะคุมเสียงลำบาก คุณจึงควรที่จะตีให้ได้น้ำหนักมือที่สม่ำเสมอ และนิ่ง จะทำให้เสียงที่ออกมานั้น สมบูรณ์เพอเฟ็กส์ที่สุด